Friday, September 26, 2008

เอกนรินทร์บินได้

แม้ว่ามันจะดูเหมือนความฝัน หรือเรื่องเหลือเชื่อก็ตามที เพราะคงไม่มีใครจะเชื่อว่าเด็กชายเอกนรินทร์ นักเรียนประถมหก แห่งโรงเรียนวัดบ้านหลวง จะบินได้จริงๆ เด็กชายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสามารถพิเศษที่ว่านี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่ามันทำให้เอกรู้สึกผิดแผกจากคนอื่น จนต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอดมาโดยตลอด ไม่บอกแม้กระทั่งพ่อแม่ หรือเพื่อนที่สนิทที่สุด ความจริงมีสาเหตุอีกข้อหนึ่งก็คือ หากมีผู้ใดล่วงรู้ในความสามารถของเอกในเรื่องนี้ เขาจะไม่สามารถบินได้อีกเลย นั่นคือสิ่งที่เอกรู้อยู่ในใจมาโดยตลอด ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น เอกนึกว่ามันเป็นความฝันเสียอีก แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกในเวลาต่อมา และบางทีก็ติดต่อกันหลายครั้ง ตอกย้ำให้เอกต้องยอมรับกับความสามารถพิเศษในข้อนี้ของตน

ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น เอกไม่สามารถควบคุมมันได้เลยสักนิด เพราะร่างกายของเอกจะเบาหวิว แทบจะไม่มีน้ำหนักใดๆเลย เอกไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตนกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ แม้จะพยายามที่จะยึดตัวให้ติดกับพื้นดินก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อรอสักพัก ร่างอันไร้น้ำหนักของเขาก็จะค่อยๆตกลงมาเอง ดั่งขนนกที่ล่องลอยในกระแสลมที่เมื่อยามลมสงบมันก็จะตกลงมา แต่หากเขาย่อตัวและออกแรงถีบอีกสักนิด เขาก็จะขึ้นไปลอยล่องอยู่กลางอากาศได้อีกครั้ง และหากไม่อยู่เฉยๆ โดยตะกายอากาศขึ้นไปอีก เอกก็จะสามารถถีบตัวสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น และ สูงขึ้นอย่างช้าๆ จนพ้นหลังคาบ้านผู้คน หรือบางที่ก็แทบจะถึงยอดเขาที่ล้อมเมืองไว้ด้วยซ้ำ สูงเสียจนน่ากลัวเพราะมองลงมาก็จะเห็นผู้คนในเมืองตัวเล็กนิดเดียว เอกไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด เพราะการบินของเขา แทบไม่ต้องออกแรงอะไร เพราะร่างกายเหมือนจะอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนมนุษยอวกาศที่เคลื่อนตัวช้าๆด้วยการหวากว่ายอยู่ในอากาศ มากกว่าจะเหมือนนกที่ต้องออกแรงกระพือปีกบินโฉบไปโฉบมา หรือเครื่องบินไอพ่นที่ต้องใช้แรงเครื่องยนต์เสียงดังหนวกหู และบินดิ่งเป็นเส้นตรง

แต่ความสามารถนี้ใช่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ มันจะเกิดขึ้นก็เมื่อยามที่จิตของเอกสงบนิ่งจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ และอยู่ลำพังเพียงคนเดียวเท่านั้น จึงไม่มีใครมีโอกาสได้เห็นหรือล่วงรู้ความลับเรื่องนี้ของเอกเลย เมื่อสภาวะดังกล่าวเกิดขึ้น ร่างการของเอกจะเบาลง จนแทบไม่มีน้ำหนัก เอกจะรู้สึกสบายและมีความสุขที่สุด โดยเฉพาะในยามที่เขาไปบินวนอยู่รอบเมือง บางทีก็เขาก็จะบินอยู่เหนือสวนสาธรณะ หรือสนามกิฬาของจังหวัด โดยต้องแอบหลบเพื่อระวังไม่ให้ผู้คนเห็น

วันหนึ่งเด็กชายเอกนริทร์ เกิดนึกสนุก อยากใช้ความสมารถพิเศษของตน เพื่อทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เอกออกอุบายว่า เมื่อไดก็ตามที่ตนได้บินอีก จะบินไปที่หลังคาวิหารวัดบ้านหลวง เพื่อจะได้สัมผัสและชื่นชมกับช่อฟ้าของวิหาร ซึ่งกล่าวกันว่าหลอมมาจากทองคำแท่งโบราณ ซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ของวัดบ้านหลวงมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ ยี่สิบปีก่อน ทองคำแท่งก้อนนี้เก็บอยู่ในกรุของวัด แต่ก็มักจะถูกพวกย่องเบางัดประตูเข้าไปขโมย แต่ตำรวจก็ตามจับตัวคนร้าย และนำทองแท่งกลับคืนมาได้เสียทุกครั้งเหมือนกัน หลวงปู่ทองเจ้าอาวาส จึงออกอุบายให้นำทองแท่งมาหลอมเป็นช่อฟ้าหน้าวิหารใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสร้างใหม่สมัยนั้น สูงจากพื้นดินราวตึกห้าชั้นเห็นจะได้ และให้ช่างใช้วัสดุมุงหลังคาชนิดเบาและบางเป็นพิเศษประกอบกับกระจกใสแก้วใสบางเฉียบ ซึ่งทำให้ไม่มีใครจะสามารถขึ้นไปย่องบนหลังคาได้เลย โดยไม่ทำให้หลังคาทะลุแล้วตกลงมาเสียก่อน จะมีก็แต่แมวของวัด หรือนกกาเท่านั้นกระมัง ที่จะสามารถขั้นไปเดินบนหลังคาเพื่อสัมผัสกับช่อฟ้าทองคำนั้นได้ ด้วยอุบายเช่นนี้ จึงทำให้ช่อฟ้าทองคำของวัดหลวงเป็นสมบัติของหมู่บ้าน ที่ทุกคนรู้สึกหวงแหนเหมือนเป็นเจ้าของร่วมกัน และถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน จากนั้นมา ก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องขโมยขึ้นวัดอีกเลย เด็กชายเอกนรินทร์ เกิดความคิดว่า หากตนได้สัมผัสกับช่อฟ้านั้นสักครั้งหนึ่ง คงเป็นคนเดียวเท่านั้นในหมู่บ้านนับแต่ยิ่สิบปีที่แล้วที่จะได้สัมผัสกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านวัดหลวง

หลายวันผ่านมา เอกยังคงคิดถึงอุบายดังกล่าวเสมอ แต่ไม่มีโอกาส เพราะครั้งใดที่สภาวะจิตของเอกสงบนิ่งและร่างกายอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักนั้น ก็มักจะเป็นช่วงเวลากลางวัน ซึ่งก็จะมีผู้คนที่มาทำบุญอยู่พลุกพล่าน เอกเกือบจะลืมเรื่องอุบายดังกล่าวไปเสียสนิท เพราะเวลาผ่านไปหลายวันทีเดียว แต่แล้ววันหนึ่ง ยามโพล้เพล้ ความรู้สึกดังกล่าวก็เกิดขึ้นเอง เอกขนรุกไปทั้งตัว และเอกรู้ตัวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือสภาวะไร้น้ำหนัก และเพียงเขาเขย่งตัวแต่ปลายเท้า ร่างของเขาก็จะลอยขึ้นไม่ติดพื้นทันที แน่นอน เอกไม่ลืมนึกถึงอุบายที่ตนคิดไว้ก่อนแล้ว

วัดหลวงอยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของเอก ใช้เวลาบินอยู่ไม่กี่นาที เอกก็ลอยอยู่เหนือหลังคาวัดที่ตอนนี้เป็นสีทอง เงาระยับสะท้อนกับแสงของอาทิตย์อัสดง ยามโพล้เพล้ของวันนั้น บริเวณวัดเงียบสงัด มีแต่เสียงร้องของนกกาเป็นระยะบอกให้รู้ถึงเวลาใกล้ค่ำ ยามเย็น ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านก็จะกลับบ้านไปทานอาหารพร้อมหน้ากับครอบครัว ไม่มีใครมาสนใจว่าเด็กชายคนหนึ่งกำลังจะทำในสิ่งต้องห้าม ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในรอบยี่สิบปี เอกเอื้อมมือไปสัมผัสกับช่อฟ้าทองคำ และก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงถึงความงดงามในฝีมือช่างทองที่บรรจงประดิษฐ์ช่อฟ้าทองคำนั้นอย่างวิจิตร ในชั่วขณะนั้น เด็กชายเกิดความคิดว่าที่จะหักเอาปลายของหัวช่อฟ้าไปขายพ่อค้าร้านทอง คงได้ราคางามทีเดียว ที่นี้พ่อและแม่ของเขาคงสบายไปตลอด และเอกก็ไม่ต้องช่วยพ่อแม่ทำสวนผักให้เหนื่อยอีกต่อไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เอกก็เอื้อมมือไปจนสุด และบิดปลายของยอดช่อฟ้าไปมาหลายครั้ง ทองคำแท้ที่มีรอยฉลุรวดลายพรุนไปหมดไม่นานก็อ่อนยวบ บิดอีกสักสองสามครั้งก็คงจะหลุดคามือแน่นอน เอกตัดสินใจกระชากครั้งสุดท้ายอย่างแรงทันที่ ก่อนจะได้ยินเสียงคนร้องตะโกนโหวกแหวกอยู่ข้างล่าง เป็นเสียงที่คุ้นเคยของลุงแสวงคนกวาดลานวัดนั้นเอง เอกตกใจมากจนหลุดออกจากสภาวะจิตที่สงบนิ่ง ภาพที่เอกจำได้คือมือของเขาที่กระชากเอาก้อนทองติดมือมาอย่างแรง และในเสี่ยววินาที ร่างของเด็กชากก็กระทบพื้นดินลูกรังอย่างแรงจนฝุ่นตลบคลุ้งไปหมด เอกได้ยินเสียงลุงแสวงตะโกนดังลั่น ฟังไม่ได้สับ ก่อนทุกอย่างจะมืดสนิทลง

* * *

หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น วัดบ้านหลวงก็มีตำนานบทใหม่ เล่าขานถึงเด็กชายที่ขึ้นไปบนยอดหลังคาวัดได้อย่างพิศวง โดยไม่มีร่องรอยแตกหักของกระจกมุงหลังคาเลย เมื่อเจ้าอาวาสถาม เด็กชายก็ได้แต่ร่ำร้องบอกเล่าถึงเรื่องราว ที่ครั้งหนึ่งเขาบินได้จริงๆ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเด็กห้วขโมยในวัด ที่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล เมื่อมีผู้คนที่มาทำบุญถามไถ่ถึงเรื่องราวของใบช่อฟ้าทองคำหน้าวิหารที่ปลายหัก พระเณรที่วัดก็จะให้ไปถามลุงพิการขาด้วน ที่ขายล็อตตาลี่อยู่หน้าวัดบ้านหลวง ซึ่งแกดูจะมีความสุขกับการเล่านิทานให้เด็กๆที่มาเที่ยวที่วัดฟังเสมอ บางเรื่องที่แกเล่วก็ว่ากันว่าจริง บางเรื่องก็ว่าเป็นแค่นิทาน

ไม่มีใครรู้ล่วงรู้ว่าความสามารถพิเศษของเด็กชายเอกนริทร์ เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือว่ามันเกิดขึ้นจริงๆหรือเปล่า เพราะบางกระแสก็ว่ามีคนเห็นเด็กชายปีนหลังคาวัดขึ้นไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่าผู้ที่เห็นนั้นเป็นใคร แต่นั้นไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เด็กชายได้เรียนรู้จากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า อภิสิทธิ์ที่ตนเองมีเหนือผู้อื่นนั้น มิได้นำพาให้ตนเองพิเศษกว่าผู้อื่นเลย ซ้ำยังเป็นภัยร้ายให้กับตนเสียด้วยซ้ำ หากไม่รู้จักคุณค่าและประมาณตน หรือปรับวิถีแห่งอภิสิทธิ์นั้นให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนที่ต้องการมัน มากกว่าที่จะมุ่งใช้อภิสิทธิ์ในทางมุ่งสนองความกิเลสแห่งตน

ไม่ว่าเด็กชายเอกนรินทร์จะบินได้จริงตามคำบอกเล่าของตำนานหรือไม่ก็ตาม ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเช่นนั้น เพราะความสามารถเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน แต่จะด้วยสาเหตุใดนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการเห็นคุณค่าแห่งความจริงในข้อนี้ บัดนี้ เอกนริทร์กลับกลายเป็นคนพิการ หรือผู้ด้อยอภิสิทธิ์มากกว่าคนทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ซึ่งกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากอภิสิทธิ์ชนในสังคม ที่ยังมองไม่เห็น หรือไม่ตระหนักถึงคุณค่าอันวิเศษที่ตนเองมีเหนือผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ตอนนี้เอกนรินทร์ไม่ขอบินได้อีกแล้ว ขอเพียงแค่ได้ขาทั้งสองข้างกลับคืนมา เพื่อจะได้เดินเหมือนอย่างคนปกติ นั่นก็เพียงพอแล้ว

Tuesday, September 16, 2008

เรื่องของดำ

ดำกำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ หรือจะว่าไปจริงๆ ก็ตั้งแต่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ เพราะพ่อของเธอทิ้งแม่ไปตั้งแต่ตอนที่แม่ยังตั้งท้องเธอ เธอมากำพร้าแม่ก็ตอนที่แม่ตายเพราะเสียเลือดมากหลังคลอดเธอ ดำยังไม่ลืมเสมอว่า การเกิดของเธอเป็นสาเหตุการตายของแม่ เจ้าของร้านเย็บเสื้อโหลที่ตลาดแถวสุขาภิบาล จึงรับเธอมาเลี้ยงดูด้วยความสงสาร พอโตขึ้นหน่อยก็ให้ให้เป็นลูกจ้างคอยเฝ้าหน้าร้าน โดยไม่ได้ให้ค่าจ้างค่าแรงอะไรแม้สักนิด แต่เพียงข้าวแดงแกงร้อนในแต่ละมื้อ ก็พอเพียงแล้ว ที่จะทำให้ดำจดจำพระคุณของแม่เล็ก ได้อย่างไม่ลืมเลือน เพราะมิฉะนั้น ตำคงต้องร่อนเร่เป็นขอทานในตลาดไปตลอด

แต่ต่อมาไม่นาน แม่เล็กก็ประสบปัญหาทางการเงิน ถึงขนาดต้องเลิกกิจการเย็บเสื้อโหลในตลาด และต้องเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมด ดำเป็นอีกคนหนึ่งในร้าน ที่ต้องละเห็ดออกจากบ้าน โดยที่แม่เล็กฝากเธอให้กับเจ้ใฝแถวถนนจรัญสนิทวงศ์ให้เลี้ยงดูเธอต่อ เจ้ไฝใจดีเลี้ยงดูเธอด้วยความรักและความสงสาร

หลายปีผ่านไป ดำเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มแตกเนื้อสาว และเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่ย่อมมีหนุ่มๆ แอบมอง และหมายปองเธอ และที่สุด เธอก็ถูกไอ้หนุ่มลูกจ้างบ้านเจ้ไฝ่ ที่เฝ้าแอบมองเธอมาตลอดข่มเหงน้ำใจ แม้เจ้ไฝจะเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับทั้งสอง จึงจำยอมให้คู่อยู่กันอย่างเปิดเผย ในฐานะลูกจ้างต่อไป เจ้าหนุ่มก็ไม่ได้หนีไปใหน เฝ้าดูแลดำอยู่เป็นอย่างดี

ไม่นานทั้งสองก็ได้ให้กำเนิดลูกน้อย แต่ความสุขมักอยู่ไม่นาน ดำคอยตอกย้ำเตือนใจตัวเองเสมอ เพระนี่คือสิ่งที่เธอเรียนรู้จากชีวิตจริงของเธอ ความทุกข์ต่างห่างที่จีรัง และดูเหมือนจะไม่เคยห่างไกลจากเธอเลยแม้สักนิด เพราะไม่นานหลังเจ้าตัวเล็กเกิด เจ้าหนุ่มแสนรักของเธอก็ถูกรถชนตายกลางถนน อีกครั้งหนึ่งแล้ว ที่ความพลัดพรากเกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ นับแต่พ่อและแม่ที่ให้กำเนิด แม่เล็ก มาจนถึงคนที่เธอรักที่สุดในชีวิต ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความพลัดพรากจากคนรักนั้น มันมากเกินกว่าความเจ็บปวด หากมันสามารถแลกได้กับความเจ็บปวดใดๆก็ตาม เธอก็พร้อมที่จะแลกกับมันได้เสมอ แต่ความจริงคือ ไม่มีความเจ็บปวดใดๆที่จะสามารถทดแทนหรือเทียบได้กับความทุกข์แห่งการพลัดพราก ตั้งแต่นั้นดำก็หมดอาลัยตายอยากในชีวิต อยู่ไปวันๆ ซึมเศร้า ทรุด และซูบผอมไปตามกาลเวลา เพราะกินอะไรไม่ลง อันเกิดจากความพิการและอัมพาตทางจิตใจ

เวลาผ่านไป เจ้าตัวเล็กโตขึ้นอย่างกำพร้าพ่อ แม่ไฝเห็นว่ามันพอจะหยิบจับงานได้บ้าง จึงฝากงานให้มันไว้กับลูกสาวที่อยู่ท้ายซอย นานๆครั้ง เจ้าเล็กจึงจะได้มาเยี่ยมแม่ดำบ้างสักที แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ไม่ค่อยได้กลับมาบ้านเจ้ไฝ จนบางครั้งก็เน่นนานทีเดียว

วันนี้ เจ้าตัวเล็กโตขึ้น ยังคงทำงานเป็นลูกจ้างบ้านลูกสาวเจ้ไฝอยู่ นานมากแล้วที่มันไม่ได้กลับมาเยี่ยมแม่ดำอีก บางทีมันอาจจำไม่ได้แล้ว ว่าแม่ของมันเป็นใคร และมันก็จะไม่มีวันได้รู้อีก เพราะวันนี้ แม่ดำของมันตายแล้ว จากไปอย่างอย่างสงบ จริงๆเจ้าตัวเล็กน่าจะดีใจมากว่า ที่รู้ว่าแม่จากโลกที่โหดร้ายนี้ไปเสียที หากมันได้รู้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของมัน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของมัน ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่มันอาจจะได้สัมผัสกับตัวมันเองเข้าสักวันหนึ่ง บางทีแม่ดำอาจได้ไปอยู่กับพ่อของมันในสวรรค์แล้วก็เป็นได้ เจ้าตัวเล็กเองต่างหาก ที่ต้องอยู่ทนทุกข์กับโลกใบนี้ต่อไป ตราบจนกว่ามันจะตาย หรือตราบที่ลูกสาวเจ้าไฝจะเบื่อหน่าย และเอามันไปทิ้งที่วัด เหมือนอย่างที่ใครๆเขาทำกัน ...

ด้วยความอาลัย ขอดวงวิญญาณของดำจงสู่สุขคตินิรันตร์ โดยไม่ต้องกลับมาเกิดให้ทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้อีก ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม

MTT
Comment เรื่องสั้น ให้อุกฤษณ์ เรื่อง ชีวิตของหนู

แม้จะรู้สึกเหมือนถูกเสียดสีในฐานะคนๆหนึ่งในสังคมที่นิยมความรุนแรง แต่ก็อดขำไม่ได้ด้วยภาษาที่ประชดประชัดโดยเจตนาใช้ประโยคความเดียว ห้วน สั้น ไม่มีคำขยายความใดๆ กับเรื่องที่เป็นเรื่องสะเทือนอารมณ์และคนในสังคม เช่น พ่อข่มขืนหนู! ซึ่งน่าจะให้ความสำำคัญและนำเสนอให้ละเอียดกว่านี้ แต่ผู้เขียนเจตนาไม่ทำ เพื่อประชดให้เห็นว่าสังคมเห็นเรื่องสวะเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก ซึ่งต้องชมในข้อนี้ โดยเฉพาะ ประโยค หนูตาย! ซึ่งผมว่าเป็น punch line จริงๆ คือ ชกหน้าคนอ่านอย่างแรง แต่ก็อดขำไม่ได้เพราะมันกระชากอารมณ์คนอ่านเร็วเกินไป โดยยังไม่ทันตั้งตัว คือเริ่มต้นได้เหมือนจะเสียดสีสังคม แต่ตอนจบย่อหน้าสองกลับมี twisting (หักมุม) เพราะคนเขียนตาย โดยที่คนอ่านคาดไม่ถึง เพราะถ้าตายจะมาเขียนได้ไง ดังนั้นคนอ่านจึงไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนเขียนจะตาย เพราะคนอ่านจะเข้าใจว่าสรรพนามทีใช้หมายถึงคนเขียนเสมอ ซึ่งไม่จำเป็น

แต่พออุกฤษณ์เผยว่าเป็นความฝัน น้ำหนักของ climax ของ plot ที่วางไ้ว้ก่อนหน้าก็ลดลงไปทันที ทำให้คนอ่านรูสึกว่าที่เข้าใจว่าผู้เขียนจะเสียดสีสังคมนั้นแท้จริงผู้เขียนไม่ได้เจตนาเช่นนั้น รู้สึกเหมือนถูกหลอก และน้ำหนักของข้อความที่ต้องการสื่อก็ลดหวบทันที เพราะเป็นแค่ความฝัน เรื่องสั้นประเภทแนวจบแบบความฝันถ้าวาง plot ไม่แนบเนียนจะทำให้เสียคะแนนจากกรรมการได้ เพราะเป็น twisting จริง แต่เป็นแบบที่ไม่ได้ให้อะไรคนอ่านเลย ไม่ให้ค่าเหนื่อยกับการอ่านเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมันทำให้ที่กล่าวมาทั้งหมดก่อนหน้า meaningless!

พอเริ่มอ่านต่อเรื่องก็เริ่มเข้ารกเข้าพงมากขึ้น เพราะจับไม่ได้ว่าผู้เขียนต้องการบอกอะไรกับคนอ่่านกันแน่ ซึ่งตอนแรกดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงในมวยเด็กซึ่งตรงมากกับโจทย์ของเรื่อง แต่พออ่านตอนท้ายของเรื่องกลายเป็นว่า ตกลงมวยเด็กเป็นสิ่งดีนะ แต่เวลาชกต้องเน้นป้องกันอย่างมวยไชยานะ จึงจะเรียกว่าดี ดังนั้นผู้เขียนจะตอบโจทย์ว่ามวยเด็กดีหรือไม่ดีได้อย่างไร หรือว่าที่เขียนนี้ต้องการเชิดชูมวยไชยาส่วนประเด็นความสัมพันธ์ของพี่กับน้องนั้น ผมเห็นว่าจะทำให้เรื่องเกิดอีกหนึ่ง plot โดยไม่จำเป็น และจะมากเกินไปในเรื่องสั้นขนาดสั้น แต่ถ้าจะเก็บไว้ต้องปูพื้นให้มากกว่านี้ ไม่งั้นคนอ่านจะเข้าใจว่าเด็กชายชกมวยกับนักมวยหญิง (เอ ... หรืออุกฤษณ์ให้เป็นผู้หญิงจริงๆ) ที่หนักไปกว่านั้นคือเด็กชอบกินถั่วดำ!

comments โดยรวมจึงเป็นว่า 1. ไม่มีความสม่ำเสมอในการวางโครงเรื่อง ขาด consistency เรียกได้ว่าครึ่งแรก กับครึ่งหลัง แทบจะเป็นคนละคนเขียน 2. ไม่รู้ว่าผู้เขียนจะบอกอะไรกันแน่ หลักสำคัญของกรรมการคือจะดูว่าผู้เขียนจะบอกอะไรกับคนอ่าน ใครบอกได้โดนใจกรรมการมากกว่าชนะ แต่ผมว่าข้อนี้อุกฤษณ์ไม่ชัดเจน ทั้งๆที่ข้อนี้เป็นข้อที่จะเรียก คะแนนได้มากสุด นอกเหนือจากการใช้สำนวนภาษา 3. ผมแนะนำว่าถ้าจบแค่ หนูตาย! ละก็ใช้ได้ทีเดียว เรียกว่าวัดใจกรรมการ ถ้าไม่หมั่นใส้ให้ตกรอบแรก ก็คงได้รางวัลตลกเสียดสีสังคมบ้างล่ะน่า แต่ถ้าตกรอบจริงๆ ก็พอจะส่งไปต่วยตูน หรือขายห้วเราะให้กองบรรณาธิการขำกันพอควร ผมยังนั่งหัวเราะเลยหลังอ่านสองย่อหน้าแรก