Friday, September 26, 2008

เอกนรินทร์บินได้

แม้ว่ามันจะดูเหมือนความฝัน หรือเรื่องเหลือเชื่อก็ตามที เพราะคงไม่มีใครจะเชื่อว่าเด็กชายเอกนรินทร์ นักเรียนประถมหก แห่งโรงเรียนวัดบ้านหลวง จะบินได้จริงๆ เด็กชายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสามารถพิเศษที่ว่านี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่ามันทำให้เอกรู้สึกผิดแผกจากคนอื่น จนต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอดมาโดยตลอด ไม่บอกแม้กระทั่งพ่อแม่ หรือเพื่อนที่สนิทที่สุด ความจริงมีสาเหตุอีกข้อหนึ่งก็คือ หากมีผู้ใดล่วงรู้ในความสามารถของเอกในเรื่องนี้ เขาจะไม่สามารถบินได้อีกเลย นั่นคือสิ่งที่เอกรู้อยู่ในใจมาโดยตลอด ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น เอกนึกว่ามันเป็นความฝันเสียอีก แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกในเวลาต่อมา และบางทีก็ติดต่อกันหลายครั้ง ตอกย้ำให้เอกต้องยอมรับกับความสามารถพิเศษในข้อนี้ของตน

ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น เอกไม่สามารถควบคุมมันได้เลยสักนิด เพราะร่างกายของเอกจะเบาหวิว แทบจะไม่มีน้ำหนักใดๆเลย เอกไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตนกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ แม้จะพยายามที่จะยึดตัวให้ติดกับพื้นดินก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อรอสักพัก ร่างอันไร้น้ำหนักของเขาก็จะค่อยๆตกลงมาเอง ดั่งขนนกที่ล่องลอยในกระแสลมที่เมื่อยามลมสงบมันก็จะตกลงมา แต่หากเขาย่อตัวและออกแรงถีบอีกสักนิด เขาก็จะขึ้นไปลอยล่องอยู่กลางอากาศได้อีกครั้ง และหากไม่อยู่เฉยๆ โดยตะกายอากาศขึ้นไปอีก เอกก็จะสามารถถีบตัวสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น และ สูงขึ้นอย่างช้าๆ จนพ้นหลังคาบ้านผู้คน หรือบางที่ก็แทบจะถึงยอดเขาที่ล้อมเมืองไว้ด้วยซ้ำ สูงเสียจนน่ากลัวเพราะมองลงมาก็จะเห็นผู้คนในเมืองตัวเล็กนิดเดียว เอกไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด เพราะการบินของเขา แทบไม่ต้องออกแรงอะไร เพราะร่างกายเหมือนจะอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนมนุษยอวกาศที่เคลื่อนตัวช้าๆด้วยการหวากว่ายอยู่ในอากาศ มากกว่าจะเหมือนนกที่ต้องออกแรงกระพือปีกบินโฉบไปโฉบมา หรือเครื่องบินไอพ่นที่ต้องใช้แรงเครื่องยนต์เสียงดังหนวกหู และบินดิ่งเป็นเส้นตรง

แต่ความสามารถนี้ใช่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ มันจะเกิดขึ้นก็เมื่อยามที่จิตของเอกสงบนิ่งจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ และอยู่ลำพังเพียงคนเดียวเท่านั้น จึงไม่มีใครมีโอกาสได้เห็นหรือล่วงรู้ความลับเรื่องนี้ของเอกเลย เมื่อสภาวะดังกล่าวเกิดขึ้น ร่างการของเอกจะเบาลง จนแทบไม่มีน้ำหนัก เอกจะรู้สึกสบายและมีความสุขที่สุด โดยเฉพาะในยามที่เขาไปบินวนอยู่รอบเมือง บางทีก็เขาก็จะบินอยู่เหนือสวนสาธรณะ หรือสนามกิฬาของจังหวัด โดยต้องแอบหลบเพื่อระวังไม่ให้ผู้คนเห็น

วันหนึ่งเด็กชายเอกนริทร์ เกิดนึกสนุก อยากใช้ความสมารถพิเศษของตน เพื่อทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เอกออกอุบายว่า เมื่อไดก็ตามที่ตนได้บินอีก จะบินไปที่หลังคาวิหารวัดบ้านหลวง เพื่อจะได้สัมผัสและชื่นชมกับช่อฟ้าของวิหาร ซึ่งกล่าวกันว่าหลอมมาจากทองคำแท่งโบราณ ซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ของวัดบ้านหลวงมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ ยี่สิบปีก่อน ทองคำแท่งก้อนนี้เก็บอยู่ในกรุของวัด แต่ก็มักจะถูกพวกย่องเบางัดประตูเข้าไปขโมย แต่ตำรวจก็ตามจับตัวคนร้าย และนำทองแท่งกลับคืนมาได้เสียทุกครั้งเหมือนกัน หลวงปู่ทองเจ้าอาวาส จึงออกอุบายให้นำทองแท่งมาหลอมเป็นช่อฟ้าหน้าวิหารใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสร้างใหม่สมัยนั้น สูงจากพื้นดินราวตึกห้าชั้นเห็นจะได้ และให้ช่างใช้วัสดุมุงหลังคาชนิดเบาและบางเป็นพิเศษประกอบกับกระจกใสแก้วใสบางเฉียบ ซึ่งทำให้ไม่มีใครจะสามารถขึ้นไปย่องบนหลังคาได้เลย โดยไม่ทำให้หลังคาทะลุแล้วตกลงมาเสียก่อน จะมีก็แต่แมวของวัด หรือนกกาเท่านั้นกระมัง ที่จะสามารถขั้นไปเดินบนหลังคาเพื่อสัมผัสกับช่อฟ้าทองคำนั้นได้ ด้วยอุบายเช่นนี้ จึงทำให้ช่อฟ้าทองคำของวัดหลวงเป็นสมบัติของหมู่บ้าน ที่ทุกคนรู้สึกหวงแหนเหมือนเป็นเจ้าของร่วมกัน และถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน จากนั้นมา ก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องขโมยขึ้นวัดอีกเลย เด็กชายเอกนรินทร์ เกิดความคิดว่า หากตนได้สัมผัสกับช่อฟ้านั้นสักครั้งหนึ่ง คงเป็นคนเดียวเท่านั้นในหมู่บ้านนับแต่ยิ่สิบปีที่แล้วที่จะได้สัมผัสกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านวัดหลวง

หลายวันผ่านมา เอกยังคงคิดถึงอุบายดังกล่าวเสมอ แต่ไม่มีโอกาส เพราะครั้งใดที่สภาวะจิตของเอกสงบนิ่งและร่างกายอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักนั้น ก็มักจะเป็นช่วงเวลากลางวัน ซึ่งก็จะมีผู้คนที่มาทำบุญอยู่พลุกพล่าน เอกเกือบจะลืมเรื่องอุบายดังกล่าวไปเสียสนิท เพราะเวลาผ่านไปหลายวันทีเดียว แต่แล้ววันหนึ่ง ยามโพล้เพล้ ความรู้สึกดังกล่าวก็เกิดขึ้นเอง เอกขนรุกไปทั้งตัว และเอกรู้ตัวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือสภาวะไร้น้ำหนัก และเพียงเขาเขย่งตัวแต่ปลายเท้า ร่างของเขาก็จะลอยขึ้นไม่ติดพื้นทันที แน่นอน เอกไม่ลืมนึกถึงอุบายที่ตนคิดไว้ก่อนแล้ว

วัดหลวงอยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของเอก ใช้เวลาบินอยู่ไม่กี่นาที เอกก็ลอยอยู่เหนือหลังคาวัดที่ตอนนี้เป็นสีทอง เงาระยับสะท้อนกับแสงของอาทิตย์อัสดง ยามโพล้เพล้ของวันนั้น บริเวณวัดเงียบสงัด มีแต่เสียงร้องของนกกาเป็นระยะบอกให้รู้ถึงเวลาใกล้ค่ำ ยามเย็น ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านก็จะกลับบ้านไปทานอาหารพร้อมหน้ากับครอบครัว ไม่มีใครมาสนใจว่าเด็กชายคนหนึ่งกำลังจะทำในสิ่งต้องห้าม ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในรอบยี่สิบปี เอกเอื้อมมือไปสัมผัสกับช่อฟ้าทองคำ และก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงถึงความงดงามในฝีมือช่างทองที่บรรจงประดิษฐ์ช่อฟ้าทองคำนั้นอย่างวิจิตร ในชั่วขณะนั้น เด็กชายเกิดความคิดว่าที่จะหักเอาปลายของหัวช่อฟ้าไปขายพ่อค้าร้านทอง คงได้ราคางามทีเดียว ที่นี้พ่อและแม่ของเขาคงสบายไปตลอด และเอกก็ไม่ต้องช่วยพ่อแม่ทำสวนผักให้เหนื่อยอีกต่อไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เอกก็เอื้อมมือไปจนสุด และบิดปลายของยอดช่อฟ้าไปมาหลายครั้ง ทองคำแท้ที่มีรอยฉลุรวดลายพรุนไปหมดไม่นานก็อ่อนยวบ บิดอีกสักสองสามครั้งก็คงจะหลุดคามือแน่นอน เอกตัดสินใจกระชากครั้งสุดท้ายอย่างแรงทันที่ ก่อนจะได้ยินเสียงคนร้องตะโกนโหวกแหวกอยู่ข้างล่าง เป็นเสียงที่คุ้นเคยของลุงแสวงคนกวาดลานวัดนั้นเอง เอกตกใจมากจนหลุดออกจากสภาวะจิตที่สงบนิ่ง ภาพที่เอกจำได้คือมือของเขาที่กระชากเอาก้อนทองติดมือมาอย่างแรง และในเสี่ยววินาที ร่างของเด็กชากก็กระทบพื้นดินลูกรังอย่างแรงจนฝุ่นตลบคลุ้งไปหมด เอกได้ยินเสียงลุงแสวงตะโกนดังลั่น ฟังไม่ได้สับ ก่อนทุกอย่างจะมืดสนิทลง

* * *

หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น วัดบ้านหลวงก็มีตำนานบทใหม่ เล่าขานถึงเด็กชายที่ขึ้นไปบนยอดหลังคาวัดได้อย่างพิศวง โดยไม่มีร่องรอยแตกหักของกระจกมุงหลังคาเลย เมื่อเจ้าอาวาสถาม เด็กชายก็ได้แต่ร่ำร้องบอกเล่าถึงเรื่องราว ที่ครั้งหนึ่งเขาบินได้จริงๆ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเด็กห้วขโมยในวัด ที่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล เมื่อมีผู้คนที่มาทำบุญถามไถ่ถึงเรื่องราวของใบช่อฟ้าทองคำหน้าวิหารที่ปลายหัก พระเณรที่วัดก็จะให้ไปถามลุงพิการขาด้วน ที่ขายล็อตตาลี่อยู่หน้าวัดบ้านหลวง ซึ่งแกดูจะมีความสุขกับการเล่านิทานให้เด็กๆที่มาเที่ยวที่วัดฟังเสมอ บางเรื่องที่แกเล่วก็ว่ากันว่าจริง บางเรื่องก็ว่าเป็นแค่นิทาน

ไม่มีใครรู้ล่วงรู้ว่าความสามารถพิเศษของเด็กชายเอกนริทร์ เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือว่ามันเกิดขึ้นจริงๆหรือเปล่า เพราะบางกระแสก็ว่ามีคนเห็นเด็กชายปีนหลังคาวัดขึ้นไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่าผู้ที่เห็นนั้นเป็นใคร แต่นั้นไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เด็กชายได้เรียนรู้จากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า อภิสิทธิ์ที่ตนเองมีเหนือผู้อื่นนั้น มิได้นำพาให้ตนเองพิเศษกว่าผู้อื่นเลย ซ้ำยังเป็นภัยร้ายให้กับตนเสียด้วยซ้ำ หากไม่รู้จักคุณค่าและประมาณตน หรือปรับวิถีแห่งอภิสิทธิ์นั้นให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนที่ต้องการมัน มากกว่าที่จะมุ่งใช้อภิสิทธิ์ในทางมุ่งสนองความกิเลสแห่งตน

ไม่ว่าเด็กชายเอกนรินทร์จะบินได้จริงตามคำบอกเล่าของตำนานหรือไม่ก็ตาม ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเช่นนั้น เพราะความสามารถเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน แต่จะด้วยสาเหตุใดนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการเห็นคุณค่าแห่งความจริงในข้อนี้ บัดนี้ เอกนริทร์กลับกลายเป็นคนพิการ หรือผู้ด้อยอภิสิทธิ์มากกว่าคนทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ซึ่งกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากอภิสิทธิ์ชนในสังคม ที่ยังมองไม่เห็น หรือไม่ตระหนักถึงคุณค่าอันวิเศษที่ตนเองมีเหนือผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ตอนนี้เอกนรินทร์ไม่ขอบินได้อีกแล้ว ขอเพียงแค่ได้ขาทั้งสองข้างกลับคืนมา เพื่อจะได้เดินเหมือนอย่างคนปกติ นั่นก็เพียงพอแล้ว

No comments: