Friday, August 29, 2008

แรงอธิษฐาน

หลายปีแล้วที่แม่จากน้ำไป ส่วนพ่อก็ไปทำงานโรงงานที่อยุธยา แรกๆก็กลับมาอาทิตย์ละครั้ง และส่งเงินมาให้บ้าง แต่นานเข้าก็ทิ้งให้เด็กหญิงต้องอยู่ลำพังกับน้องชาย บางทีก็หลายสัปดาห์ บางทีก็เป็นเดือน ตลอดระยะเวลากว่าสามปีตั้งแต่แม่จากไป สิ่งหนึ่งที่เธอยังคงอุ่นใจอยู่ก็คือดวงวิญญาณของแม่ที่ยังคอยวนเวียน มอบความรักและช่วยเหลือเธออยู่ใกล้เสมอมา ในแต่ละวันเธอจะรอคอยเวลาที่จะได้เข้านอนเพื่อพบกับแม่อีกครั้งในฝัน เพื่อพูดคุยและเล่าปัญหาที่เจอะเจอในแต่ละวัน และแม่ก็จะกอดเธอโดยไม่พูดอะไร แต่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอมีกำลังใจไปอีกวันหนึ่ง แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าแม่จากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ เธอเองก็ไม่เคยกลัวที่จะเจอแม่สักครั้ง ซ้ำยังคอยเฝ้าอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาลแป๊ะกงหน้าปากซอยอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นไปได้เธออยากให้แม่กลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้ง บ้านซึ่งตอนนี้ไม่มีใครนอกจากเธอ และน้องชายเล็กๆ ที่พ่อทิ้งไว้ให้เธอเลี้ยงดูด้วยค่าจ้างพนักงานชั่วคราวของร้านหนังสือเล็กแห่งหนึ่งแถวสามย่านเท่านั้น

แต่เพิ่งไม่นามมานี้เองที่น้องเล็กวัย 4 ขวบของเธอมักจะยิ้มและส่งเสียงร้องเรียกแม่อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่ทานข้าวเย็น ที่แปลกคือบางครั้งน้องก็งอแงร้องจะให้แม่ป้อนข้าวให้ เสมือนว่าแม่มานั่งกินข้าวอยู่ด้วยใกล้ๆ แต่เธอก็จะแอบรู้สึกดีใจเสมอที่เห็นน้องชายส่งเสียงเรียกแม่ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าแรงอธิษฐานเป็นจริงขึ้นมาทันที จนเดี๋ยวนี้ เวลากินข้าวเย็นเธอจะต้องเตรียมสำรับอาหารอาหารชุดเล็กให้แม่ วางไว้ข้างๆ เพระเธอคิดเสมอว่าแม่คงมาทานข้าวเย็นกับเธอและน้องด้วยทุกวัน

เหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่นั้น นับตั้งแต่เรื่องที่เธอได้รับเบี้ยเลี้ยงพิเศษเพิ่มแบบฟรุคๆ เพียงเพราะอาเฮียเจ้าของร้านหนังสือเอ็นดูเธอ หรือเรื่องที่มีคนทักแปลกแบบแปลกๆว่าเธอเดินมากลับผู้หญิงนุ่งผ้าถุงและใส่เสื้อสีน้ำเงิน ซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นแม่ของเธอ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้เธอมีโลกส่วนตัว และมีความคิดแปลกแยกจากเพื่อนๆในวัยเดียวกัน แต่ในจิตใต้สำนึกของเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า ด้วยความรักและคิดถึงแม่ แต่เธอจะอธิบายอย่างไรได้ กับเรื่องที่น้องร้องให้แม่ป้อนข้าวให้ หรือที่อาเฮียร้องทักว่ามีคนมารับกลับบ้าน น้ำตัดสินใจว่าจะถามแม่คืนนี้ แต่พอตั้งใจจะถามที่ไร พอเห็นหน้าแม่ในฝัน เธอก็จะลืมที่จะถามแม่เสมอ เธอจึงอธิษฐานต่อศาลเจ้าแป๊ะกงอีกครั้งว่าถ้าดวงวิญญาณของแม่มาหาเธอจริงๆ ก็ขอให้ปรากฏตัวให้เธอเห็นสักครั้งก็พอ เธอจะไม่กลัวแม่เลย และจะยิ่งทำบุญกรวดน้ำไปให้มากกว่าที่เคยด้วย

หลายวันผ่านไป ท่ามกลางเหตุการณ์เดิมๆที่ยังเกินขึ้นกับเธอเสมอ จนคืนวันหนึ่ง เธอรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก แม้จะง่วงมากแต่ก็ไม่หลับเสียทีและยังรู้สึกตัวอยู่ตลอด เธอจึงตัดสินใจว่าจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม แต่ไม่ทันที่เธอจะยันตัวลุกขี้น แม้ตาจะยังหลับอยู่ แต่เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอเบาๆ สองครั้ง มันเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นเสียงเนิบๆที่ฟังดูอบอุ่น เธอตกใจมากเพราะนั่นเป็นเสียงของแม่ แม้มันจะผ่านไปสามปีแล้วก็ตาม แต่เสียงเรียกชื่อน้ำซ้ำกันสองครั้งนั้นคุ้นหูน้ำมาก เหมือนตอนที่แม่ปลุกให้น้ำตื่นนอนไปโรงเรียนตอนเช้า และน้ำก็จะงัวเงียขยี้ตาลุกขึ้นเข้าห้องน้ำและแปรงฟัน แม่เป็นคนขยันและตื่นเช้ากว่าใครๆเสมอ เสียงเรียกน้ำในตอนเช้าจึงคุ้นหูน้ำมาก แต่ความกลัวทำให้น้ำไม่กล้าลืมตาขึ้นทันที ไม่กล้ากระทั่งจะกระดิกร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทึ่สุดก็อดไม่ไหวที่จะแอบหรี่ตามองผ่านความมืดของห้องเช่าที่มีหน้าต่างอยู่แต่บานเดียว พอให้แสงจันทร์ลอดเข้ามากระทบกับพื้นห้อง เธอพยายามมองด้วยหางตาที่หรึ่อยู่ ในความมืด เธอเห็นร่างทึมๆของแม่นั่งขัดสมาธิก้มหน้าอยู่ที่มุมห้อง ซึ่งอยู่เยื้องกับฟูกที่นอนของเธอเพียงราวสามเมตร ถัดจากน้องชายซึ่งนอนหลับสนิทอยู่ เธอกลัวและตกใจมากที่เจอแม่ในยามนี้ แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่างกระทบกับผ้าถุงของแม่ และเสื้อสีน้ำเงินที่แม่ใส่อยู่ มันเป็นตัวเดียวกับที่แม่ใส่ในรูปที่เธอแขวนไว้ที่ผนังห้อง น้ำกลัวจนไม่กล้าที่จะหันไปที่มุมห้องบริเวณนั้นตรงๆ กล้ามเนื้อต้นคอของเธอดูจะไม่ทำงานเอาเสียแล้ว มันเกร็งอย่างบอกไม่ถูก จนรู้สึกเหมือนเป็นตะคริว ขยับไม่ได้เลย รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว จากสันหลังถึงต้นคอ จากต้นคอจนถึงศีรษะ และขนที่แขนเธอก็ลุกชันขึ้น น้ำลืมเรื่องดื่มน้ำไปเสียสนิท เธอข่มตานอนเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่ใจเธอเต้นเสียงดังรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ น้ำข่มใจบอกแม่เบาๆ เบาจนเหมือนกลัวแม่จะได้ยิน หรือบางทีเธออาจเพียงแค่นึกอยู่ในใจก็เป็นได้

“แม่จ๋า…พรุ่งนี้น้ำจะทำบุญกรวดน้ำไปให้นะจ๊ะ”

น้ำไม่รู้ตัวว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกอีกทีก็รุ่งเช้าพอดี ซึ่งเช้านี้เธอไปทำงานสายกว่าปกติ เพราะตื่นสายและต้องรีบไปใส่บาตรพระที่ตลาด อาเฮียถามว่าทำไมมาสาย เธอก็ไม่ตอบ กลับส่งยิ้มให้แล้วก็เดินหลบไปหน้าร้าน

วันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า อาเฮียเจ้าของร้านใจดีเลยให้เธอกลับบ้านเร็วเป็นพิเศษ ตลอดทางกลับบ้าน เธอเฝ้ารอคอยให้เวลาอาหารเย็นให้มาถึงเร็วๆ เพื่อจะได้ทานอาหารกับแม่อีกเช่นเคย ซึ่งวันนี้จะไม่เหมือนกับวันที่ผ่านๆมา เพราะตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าแม่ยังอยู่กับเธอ แม่คอยช่วยเหลือเธอเสมอ ความรักของแม่ที่มีให้ลูกนั้น มากมายเหลือเกิน แม้ยามที่จากไปแล้ว ก็ยังเฝ้าคอยดูแลลูกอยู่ไม่ห่าง ถ้าแม่อยู่ตอนนี้คงดีใจที่เห็นเธอทำงานหาเงินได้แล้ว แม้จะแค่วันละห้าสิบบาท แต่ก็พอเพียงกับยุคข้าวแกงจานละสิบบาทตอนนั้น และยังพอเพียงที่จะซื้ออาหารมาเลี้ยงแม่ได้อย่างเต็มที่ในวันนั้น น้ำไม่เคยได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณแม่เลยแม้สักครั้ง เคยทำก็แต่สร้างปัญหาให้แม่ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งเรื่องหนีเรียน และเรื่องใช้เงินทองสิ้นเปลือง แต่พอแม่ไม่อยู่แล้วเธอกลับไม่หนีเรียน หรือใช้เงินสิ้นเปลืองอีกเลย คนเรามักจะเห็นคุณค่าของความรักก็ต่อเมื่อเราเสียมันไปแล้วจริงๆ วันนี้เธอเตรียมสำรับอาหารมื้อพิเศษ มีทั้งไข่เจียวหมูสับที่ซื้อมาจากปากซอย คะน้าปลาเค็ม และผัดผักบุ้งไฟแดงร้านเจ้เปาที่แม่ชอบ และที่พิเศษก็คือน้ำเป๊บซี่ใส่น้ำแข็งหนึ่งถุงที่แม่จะซื้อประจำหลังเลิกงาน ก่อนเข้าบ้านน้ำไม่ลืมซื้อพวงมาลัยหน้าตลาดมาไหว้ศาลแป๊ะกงที่หน้าปากซอยด้วยเช่นกัน และไม่ลืมที่จะอธิษฐานของแป็ะกงให้แม่กลับมาหาอีกในคืนนี้ น้ำจะไม่กลัวแม่อีก และอยากเห็นหน้าแม่ให้ชัดๆอีกครั้ง แต่ไม่ทันที่น้ำจะได้ถอดรองเท้าเข้าบ้าน น้าแดงข้างบ้านอุ้มเจ้าเล็กวิ่งหน้าตื่นมาหาบอกว่าพ่อโทรมาจากอยุธยา เสียงพ่อสั่นเครือ แต่พูดอย่างหนักแน่นว่า

“น้ำ…ฟังให้ดีนะลูก… ตำรวจเขาเจอแม่แล้ว และเขากำลังจะส่งตัวแม่กลับมาอย่างปลอดภัย พรุ่งนี้เย็นพ่อจะไปรับลูกกับเจ้าเล็ก เราจะไปสนามบินด้วยกันนะลูก…”

น้ำจำไม่ได้ว่าพ่อพูดอะไรต่อ รู้แต่ว่าที่สุดแรงอธิษฐานต่อศาลแป๊ะกงของน้ำก็เป็นจริง แม่กำลังจะกลับบ้านมาจริงๆ แต่น้ำกลับรู้สึกเหมือนมีลมเย็นเฉียบพัดผ่าน ทำให้รู้สึกเย็นวาบจนขนลุกชันขึ้นอย่างประหลาด ในมือของน้ำยังถือสายโทรศัพท์บ้านน้าแดงอยู่ ส่วนอีกมือกำแน่นกับถุงห่ออาหารและถุงน้ำแป๊ปซี่

Saturday, August 23, 2008

เด็กชายที่อยากได้ของเล่น

ห้างสรรพสินค้าเป็นสถานที่สนุกสนานและรื่นรมย์สำหรับเด็กๆในกรุงเสมอ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยจะมีเวลาพาไปเที่ยวที่ใหนๆสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเอก เด็กชายวัย 11 ปี ที่มักจะวนเวียนอยู่กับห้างเซ็นทรัลสีลมอยู่บ่อยเป็นพิเศษ เพราะเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในระแวกบ้าน ทั้งยังเป็นทางผ่านเวลาเดินกลับบ้านจากโรงเรียนอีกด้วย ทุกครั้งที่เดินผ่านแผนกของเล่นที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของห้าง เอกอดไม่ได้ที่จะต้องไปดูของเล่นที่ตัวเองอยากได้ ของเล่นเหล่านั้นแม้จะเป็นเพียงตุ๊กตาหุ่น สัตว์ประหลาด รถยนต์ หรือหุ่นยนต์พลาสติก แต่มันช่างมีค่าเป็นที่สุด มากกว่าสมบัติใดๆในโลกที่เอกต้องการ การได้ครอบครองมันมีค่ายิ่งกว่าการได้รับของขวัญจับสลากจากงานคริสมาตของโรงเรียนเสียอีก หรือกระทั่งการได้รับรางวัลเรียนดีเสียด้วยซ้ำ

แต่ท่ามกลางกองของเล่นเหล่านั้น มีของมีค่าอยู่ชิ้นหนึ่งที่อาจไม่มีใครเห็นคุณค่าของมันเลย หรือมากเท่ากับเอกก็เป็นได้ หรือแม้เด็กบางคนอาจจะเห็นคุณค่าของมันบ้าง ถึงขนาดยอมร้องให้ หรือลงทุนไปนอนดิ้นกับพื้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ให้ซื้อให้ก็ตาม แต่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมแพ้ต่อสภาพเศรษกิจในยุคนั้น เอกเองคงทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะเอกโตเกินไปกว่ากว่าที่จะเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆ หรือถ้าจะทำก็ไม่รู้จะทำไปให้ใครดู เพราะคุณแม่ก็ทำงานอยู่ที่บ้าน จะมีก็แต่คุณพ่อที่นานๆครั้งจะพามาเดินซื้อของบ้างสักที แต่เอกก็ไม่กล้าบอกให้คุณพ่อรู้ว่าต้องการของเล่นชิ้นนั้นมากเพียงไร เพราะสงสารที่คุณพ่อต้องทำงานหนักเพื่อเก็บเงินเป็นค่าเทอมให้เอกเรียนหนังสือ ซึ่งเอกเองก็ไม่ได้รู้ว่าจะเรียนหนังสือไปทำไมเหมือนกัน ไม่เคยมีใครอธิบายให้ฟัง รู้แต่ว่าการเรียนเป็นหน้าที่ของเด็ก และของเล่นเป็นศัตรูของการเรียน

วิธีเดียวที่จะได้มาซึ่งของเล่นชิ้นนั้น เอกคงต้องเก็บเงินจากค่าขนมในแต่ละวัน และหยอดกระปุกเก็บไว้เพื่อให้ครบ 53 บาท ตามราคาของป้ายของเครื่องบินของเล่นลำนั้น แต่แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงไร เงินที่เก็บก็ไม่ครบสักที เพราะบางครั้งเอกก็อดใจไม่ได้ที่จะขโมยเงินในกระปุกออมสินตัวเอง เอาไปเล่นกดไข่จนหมด การเล่นก็ง่ายนิดเดียว คนเล่นเพียงแค่หยอดเหรียญบาทลงไปในเครื่อง และหมุนลูกบิดเพื่อให้ไข่ตกลงมาหนึ่งฟอง ไข่ใบนั้นบางทีก็มีขนม บางทีก็มีของตุ๊กตุ่นตัวเล็กๆ หรือถ้าโชคดีก็จะเป็นกระดาษระบุหมายเลขของเล่นรางวัลใหญ่ ไม่เพียงแค่นั้น บางครั้งเงินในกระปุกออมสินก็ต้องหมดไปกับ มะพร้าวแก้วที่พี่สาววัยแก่กว่า 3 ปี เอามาล่อขายกับเอก ห่อละ 1 บาทบ้าง 2 บาทบ้าง ซึ่งก็เป็นเศษมะพร้าวแก้วที่เธอซื้อมาจากหลังโรงเรียนและกินเหลือ จึงนำมาขายน้องชายต่อ

หลายเดือนผ่านไป ท่ามกลางความมุ่นมั่นและอดทดจากส่งเล้าต่างๆ เช่นการกดไข่ หรือการซื้อมะพร้าวแก้วจากพี่สาว เอกก็ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าแห่งการอดออมในที่สุด เพราะมันเป็นวันที่เอกมีความสุขที่สุดอีกวันหนึ่ง ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นสิ้นสุดการสอบมิดเทอมมหาโหด แต่ที่สำคัญเป็นวันที่เอกเก็บเงินครบ 53 บาทพอดี ช่วงบ่ายหลังสอบเสร็จในวันนั้น เอกดีใจเป็นที่สุดเพราะจะได้ไปเซ็นทรัลสีลมอีกครั้ง โดยไม่ต้องอดทนให้ทรมานใจอีก วันนี้เอกตั้งใจเตรียมเงินมามากมายเพื่อซื้อเครื่องบินประกอบร่างเป็นหุ่นยนต์

เอกบรรจงเอาเหรียญเงินซึ่งนับมาอย่างดี มีทั้งเหรียญบาทและเหรียญห้ารวมกัน และยื่นให้กลับพนักงานห้างสาวสวย แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อเธอนับเงินและบอกว่า เงินไม่พอที่จะซื้อเรือบินได้ ทั้งๆที่เอกเองก็นับเงินมาอย่างดิบดี แต่ก็เข้าใจทันที่เมื่อเธอชี้ไปที่ป้ายราคาเรือบินซึ่งตอนนี้กลับกลายเป็น 53 บาท 50 สตางค์ ไปแล้ว พอเห็นเอกทำหน้าตกใจและผิดหวัง พนักงานห้างสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและพูดขึ้นว่า

“เอางี้แล้วกันนะ พี่ลดราคาให้หนู 50 สตางค์ ตกลงไม๊”

“ขอบคุณครับพี่ …” เอกกล่าวตอบเบาๆ

ใครจะรู้ว่าวันนั้น เป็นวันที่หัวใจเล็กๆ ของเด็กชายคนหนึ่งจะมีความสุขได้มากมายถึงเพียงนี้ ...และใครกันจะรู้ว่า คนที่มีความสุขไม่แพ้กันในว้นนั้นก็คือพนักงานห้างคนหนึ่ง ผู้ซึ่งสูญเสียบุตรชายวัย 5 ขวบจากอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อหลายปีที่แล้ว
ทดสอบ