Saturday, August 23, 2008

เด็กชายที่อยากได้ของเล่น

ห้างสรรพสินค้าเป็นสถานที่สนุกสนานและรื่นรมย์สำหรับเด็กๆในกรุงเสมอ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยจะมีเวลาพาไปเที่ยวที่ใหนๆสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเอก เด็กชายวัย 11 ปี ที่มักจะวนเวียนอยู่กับห้างเซ็นทรัลสีลมอยู่บ่อยเป็นพิเศษ เพราะเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในระแวกบ้าน ทั้งยังเป็นทางผ่านเวลาเดินกลับบ้านจากโรงเรียนอีกด้วย ทุกครั้งที่เดินผ่านแผนกของเล่นที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของห้าง เอกอดไม่ได้ที่จะต้องไปดูของเล่นที่ตัวเองอยากได้ ของเล่นเหล่านั้นแม้จะเป็นเพียงตุ๊กตาหุ่น สัตว์ประหลาด รถยนต์ หรือหุ่นยนต์พลาสติก แต่มันช่างมีค่าเป็นที่สุด มากกว่าสมบัติใดๆในโลกที่เอกต้องการ การได้ครอบครองมันมีค่ายิ่งกว่าการได้รับของขวัญจับสลากจากงานคริสมาตของโรงเรียนเสียอีก หรือกระทั่งการได้รับรางวัลเรียนดีเสียด้วยซ้ำ

แต่ท่ามกลางกองของเล่นเหล่านั้น มีของมีค่าอยู่ชิ้นหนึ่งที่อาจไม่มีใครเห็นคุณค่าของมันเลย หรือมากเท่ากับเอกก็เป็นได้ หรือแม้เด็กบางคนอาจจะเห็นคุณค่าของมันบ้าง ถึงขนาดยอมร้องให้ หรือลงทุนไปนอนดิ้นกับพื้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ให้ซื้อให้ก็ตาม แต่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมแพ้ต่อสภาพเศรษกิจในยุคนั้น เอกเองคงทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะเอกโตเกินไปกว่ากว่าที่จะเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆ หรือถ้าจะทำก็ไม่รู้จะทำไปให้ใครดู เพราะคุณแม่ก็ทำงานอยู่ที่บ้าน จะมีก็แต่คุณพ่อที่นานๆครั้งจะพามาเดินซื้อของบ้างสักที แต่เอกก็ไม่กล้าบอกให้คุณพ่อรู้ว่าต้องการของเล่นชิ้นนั้นมากเพียงไร เพราะสงสารที่คุณพ่อต้องทำงานหนักเพื่อเก็บเงินเป็นค่าเทอมให้เอกเรียนหนังสือ ซึ่งเอกเองก็ไม่ได้รู้ว่าจะเรียนหนังสือไปทำไมเหมือนกัน ไม่เคยมีใครอธิบายให้ฟัง รู้แต่ว่าการเรียนเป็นหน้าที่ของเด็ก และของเล่นเป็นศัตรูของการเรียน

วิธีเดียวที่จะได้มาซึ่งของเล่นชิ้นนั้น เอกคงต้องเก็บเงินจากค่าขนมในแต่ละวัน และหยอดกระปุกเก็บไว้เพื่อให้ครบ 53 บาท ตามราคาของป้ายของเครื่องบินของเล่นลำนั้น แต่แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงไร เงินที่เก็บก็ไม่ครบสักที เพราะบางครั้งเอกก็อดใจไม่ได้ที่จะขโมยเงินในกระปุกออมสินตัวเอง เอาไปเล่นกดไข่จนหมด การเล่นก็ง่ายนิดเดียว คนเล่นเพียงแค่หยอดเหรียญบาทลงไปในเครื่อง และหมุนลูกบิดเพื่อให้ไข่ตกลงมาหนึ่งฟอง ไข่ใบนั้นบางทีก็มีขนม บางทีก็มีของตุ๊กตุ่นตัวเล็กๆ หรือถ้าโชคดีก็จะเป็นกระดาษระบุหมายเลขของเล่นรางวัลใหญ่ ไม่เพียงแค่นั้น บางครั้งเงินในกระปุกออมสินก็ต้องหมดไปกับ มะพร้าวแก้วที่พี่สาววัยแก่กว่า 3 ปี เอามาล่อขายกับเอก ห่อละ 1 บาทบ้าง 2 บาทบ้าง ซึ่งก็เป็นเศษมะพร้าวแก้วที่เธอซื้อมาจากหลังโรงเรียนและกินเหลือ จึงนำมาขายน้องชายต่อ

หลายเดือนผ่านไป ท่ามกลางความมุ่นมั่นและอดทดจากส่งเล้าต่างๆ เช่นการกดไข่ หรือการซื้อมะพร้าวแก้วจากพี่สาว เอกก็ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าแห่งการอดออมในที่สุด เพราะมันเป็นวันที่เอกมีความสุขที่สุดอีกวันหนึ่ง ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นสิ้นสุดการสอบมิดเทอมมหาโหด แต่ที่สำคัญเป็นวันที่เอกเก็บเงินครบ 53 บาทพอดี ช่วงบ่ายหลังสอบเสร็จในวันนั้น เอกดีใจเป็นที่สุดเพราะจะได้ไปเซ็นทรัลสีลมอีกครั้ง โดยไม่ต้องอดทนให้ทรมานใจอีก วันนี้เอกตั้งใจเตรียมเงินมามากมายเพื่อซื้อเครื่องบินประกอบร่างเป็นหุ่นยนต์

เอกบรรจงเอาเหรียญเงินซึ่งนับมาอย่างดี มีทั้งเหรียญบาทและเหรียญห้ารวมกัน และยื่นให้กลับพนักงานห้างสาวสวย แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อเธอนับเงินและบอกว่า เงินไม่พอที่จะซื้อเรือบินได้ ทั้งๆที่เอกเองก็นับเงินมาอย่างดิบดี แต่ก็เข้าใจทันที่เมื่อเธอชี้ไปที่ป้ายราคาเรือบินซึ่งตอนนี้กลับกลายเป็น 53 บาท 50 สตางค์ ไปแล้ว พอเห็นเอกทำหน้าตกใจและผิดหวัง พนักงานห้างสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและพูดขึ้นว่า

“เอางี้แล้วกันนะ พี่ลดราคาให้หนู 50 สตางค์ ตกลงไม๊”

“ขอบคุณครับพี่ …” เอกกล่าวตอบเบาๆ

ใครจะรู้ว่าวันนั้น เป็นวันที่หัวใจเล็กๆ ของเด็กชายคนหนึ่งจะมีความสุขได้มากมายถึงเพียงนี้ ...และใครกันจะรู้ว่า คนที่มีความสุขไม่แพ้กันในว้นนั้นก็คือพนักงานห้างคนหนึ่ง ผู้ซึ่งสูญเสียบุตรชายวัย 5 ขวบจากอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อหลายปีที่แล้ว

No comments: