Friday, June 12, 2009

“หนาวจัง... คิดถึงพี่ไก่จังเลย”

สายมาแล้ว อาจารย์ต๋อมยังนั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานของคณะเพื่อรอพี่ไก่ สามีที่เป็นอาจารย์ต่างคณะมารับเหมือนเช่นทุกวัน วันนี้พี่ไก่มาสายหน่อยเพราะติดงานเลี้ยงต้อนรับอาจารย์ใหม่ที่เพิ่งเรียนจบจากนอก อาจารย์ต๋อมเลยต้องกินข้าวห่ออยู่ลำพังในห้องทำงานจนเย็นค่ำ เมื่อได้ยินว่ามีอาจารย์จบจากนอกมาใหม่ก็ทำให้นึกถึงสมัยที่แกยังเป็นนักศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่อังกฤษ กว่าจะเรียนจบมาได้ก็แทบแย่ ยิ่งในสมัยนั้นแล้วชีวิตนักศึกษาในต่างประเทศจะเปรียบแล้วก็เหมือนอยู่ในคุกดีๆนี่เอง อาหารการกินก็ไม่ถูกปาก อากาศก็หนาวเหน็บ ยิ่งวันไหนหิมะตกแล้วก็จะเงียบเหงาเอามากๆเพราะผู้คนจะไม่ออกมาเดินข้างนอก แม้จะมีอิสรภาพ แต่เหมือนถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งความคิดถึงคนที่รัก ที่กว่าจะเจอกันได้ก็ต่อเมื่อเรียนจบแล้วเท่านั้น จะพูดคุยกันทางโทรศัพท์ก็ได้ไม่นานนักเพราะค่าโทรก็แพงเหลือเกิน จะเขียนจดหมายถึงกันก็ต้องใช้เวลาลาเป็นอาทิตย์กว่าจะถึง ไม่ได้พูดคุยกันได้รวดเร็วทันใจผ่านอินเตอร์เน็ตเหมือนอย่างสมัยนี้

เวลาที่ว้าเหว่ที่สุดสำหรับอาจารย์ต๋อมในสมัยนั้น คงเป็นเวลาเย็นที่ต้องเดินตากลมหนาวกลับบ้านยามค่ำมืดเพียงลำพัง เมื่อถึงบ้านแกก็จะหุงหาอาหารกินอยู่คนเดียว ทานข้าวสวยร้อนๆ กับไข่เจียว และแกงอ่อมอิสานของโปรดแกมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ อาบน้ำและกราบพระก่อนเข้านอน โดยแกจะขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มทับซ้อนกันสามผืนจนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ทุกวันแกจะคิดถึงพี่ไก่และลูกชายสามขวบที่เมืองไทยจนจับใจ และเฝ้าคิดถึงวันที่แกจะเรียนจบและได้กลับเมืองไทยไปหาลูกและสามีเสียที มีเพียงความหวังแค่นี้แหละที่ทำให้แกมีกำลังใจเรียนหนังสือได้วันหนึ่งวันหนึ่ง เพื่อรอให้ถึงวันนั้น ยิ่งแกคิดถึงลูกและสามีเท่าไหร่ แกก็ยิ่งมุมานะเรียนมากเท่านั้น ที่แกทำได้และมักจะทำเป็นอยู่ประจำก็คือบ่นพ้อกับหม้อหุงข้าวใบน้อยตรานกยูงที่คุณแม่แกซื้อให้เป็นของฝากติดมือมาจากเมืองไทยเท่านั้นแหละ

“เจ้าหม้อหุงข้าวน้อยเอ๋ย... ขอบใจนะแกที่ที่หุงข้าวให้กินทุกวัน จะมีแกก็นี่แหละนะ...เป็นเพื่อนยามยาก... เมื่อไหร่จะเรียนจบสักทีนะ จะได้หิ้วแกกลับเมืองไทยเสียที”

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งอดีตให้หวนคิดถึง ความมุ่งมั่นที่จะเรียนให้จบเพื่อจะได้กลับเมืองไทย ทุกอารมณ์และความรู้สึกนั้น มีเพียงหม้อหุงข้าวใบน้อยที่เข้าใจแกในเวลานั้น มันก็เหมือนกันการที่นักโทษเฝ้ารอวันปล่อยตัว ต่างกันแค่พันธนาการที่ใช้ไม่ได้เป็นโซ่ตรวน แต่งเป็นความรักและความคิดถึงคนที่รักที่ไม่อาจพบหน้าได้เท่านั้น

เผลอแพลบเดียว ยี่สิบปีผ่านไป แต่ความรู้สึกนั้นย้อนกลับมาอีกครั้งในเวลานี้ เวลาที่เธอรอคอยสามีเพียงเพื่อจะได้กลับด้วยกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น แต่ความรู้สึกที่รู้ว่ากำลังจะได้เจอคนรักนั้น บางทีก็เป็นความสุขได้มากกว่าการได้เจอจริงๆเสียอีก เพราะยามที่รอคอยการพบเจอนั้นเปี่ยมไปด้วยความหวังอันปิติ แต่เมื่อได้เจอแล้วต่างหากที่บางทีก็กลับเป็นกังวลถึงการพลัดพรากอีกครั้งในอนาคต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

...

“โทษทีนะต๋อม... ให้รอนานเลย พี่ให้ต๋อมไปกินด้วยกัน ต๋อมก็ไม่ไปนี่ เอ้านี้... เจ้าสายัญเด็กทุนลูกศิษย์พี่ที่เรียนจบมาน่ะ มันอุตส่าห์หิ้วหม้อหุงข้าวกลับมาจากอังกฤษ บอกให้พี่เอาไปให้นิสิต มันว่าหม้อใบนี้ช่วยคนเรียนจบมาหลายรุ่นแล้ว มันได้มาจากรุ่นพี่ แล้วรุ่นพี่ก็ได้ต่อมาจากรุ่นก่อนๆที่เรียนจบไปอีกที ใครจะอยากได้เล่าต๋อม เนี้ยะดูสิ เก่าซะขนาดนี้ ไม่รู้ใช้กันมากี่ปีแล้วยังอุตส่าห์หอบกลับมาอีก”

อาจารย์ต๋อมเงยหน้าขึ้นช้าๆ เบึ่งตาโตมองจ้องหม้อข้าวในมืออาจารย์ไก่อยู่สักครู่

“พี่...ขอต๋อมมองใกล้ๆซิ”

“อ้าวต๋อมสนใจหรอก... เอาไปเลย... พี่ให้ เก่าขนาดนี้ใครจะอยากได้”

อาจารย์ไก่ว่าพร้อมกับยกเอาหม้อหุงข้าวใบนั้นวางไว้บนโต๊ะทำงานของอาจารย์ต๋อม ที่ตอนนี้ยิ่งจ้องมองพิจารณามากยิ่งกว่าเก่า แกค่อยๆเปิดลิ้นชักหยิบแว่นสายตายาวขึ้นใส่เหมือนพยายามจะอ่านข้อความในสลากที่แปะอยู่ด้านข้างให้ชัด บนหม้อหุงข้าวที่มีสัญลักษณ์ตรานกยูงใบนั้น มีข้อความที่เขียนด้วยปากกาลูกลื่นสีดำเป็นภาษาไทยตัวเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะมองไม่เห็น แม้ข้อความนั้นจะเรืองลางเต็มที แต่ก็ยังพออ่านได้ว่า

“หนาวจัง... คิดถึงพี่ไก่จังเลย”

...

“มันจะงมงายอะไรขนาดนั้น... ฟังเจ้าสายัญมันพูด... อาถรรพ์จริงๆนะอาจารย์ เจ้าของเก่ารักมาก ถ้าลองได้เอาหม้อใบนี้ไปใช้หุงข้าวกินทุกวันแล้ว ที่ว่าเรียนอ่อนยังไง เป็นต้องเรียนจบทุกราย”

...

“ต๋อมทำไมเงียบไปล่ะ... เออ... แต่พี่ว่าสงสัยหม้อใบนี้มันอาจจะศักดิ์สิทธิ์อย่างเขาว่าจริงๆก็ได้นะ... ก็อย่างไอ้สายัญนี่สิ พี่สอนมันมากับมือ เห็นมันไม่เอาถ่านอย่างงี้นะ มันยังจบเอกกับเขาได้นะเนี่ย... มันว่าที่มันจบมาได้ก็เพราะหม้อใบนี้แหละ... พี่ว่า... สงสัยหม้อหุงข้าวมันอยากกลับเมืองไทยมากกว่าว่ะต๋อม... ฮะ ฮะ”

No comments: