Monday, August 10, 2015

มนุษย์: ความแตกต่างที่ลงตัว
องค์ประกอบที่กำหนดพฤติกรรมมนุษย์คือ หยิน กับ หยาง หรือโครโมโซม x กับ y สะท้อนออกมาในรูปแนวความคิดสองขั้วที่กำหนดการตัดสินใจของมนุษย์ ในระดับบุคคล ครอบครัว สังคมเศรษฐกิจของประเทศและของโลก 

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและครอบครัว
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตย่อมมีวิวัฒนาการ คือ dynamic beings หยิน หยาง คือลักษณะของหญิงและชายซึ่งเกิดมาคู่กัน แต่มีลักษณะไม่เหมือนกันทั้งนี้เพื่อถ่วงดุลกันและกันเพื่อให้เกิดวิวัฒนาการตามธรรมชาติ นั่นหมายถึงการเติมเต็มกันและกัน แต่ก็ยังหมายถึงการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความลงตัวตามธรรมชาติ คำกล่าวที่ผู้ชายว่า “Woman, can’t live with. Can’t live without” อธิบายได้ดีถึงความสัมพันธ์ในเรื่องนี้ คือชายหญิงอยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกัน แต่ขาดกันก็ไม่ได้อีก ปรัชญาจีนเปรียบเทียบไว้ว่าชายคือขุนเขา หญิงคือสายน้ำ ซึ่งเป็นความต่างที่ลงตัวตามธรรมชาติ หากเอาภูเขามาถมแม่น้ำเสียจะได้พื้นที่ราบแต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตเพราะไม่มีฝนตก ความลงตัวตามธรรมชาติจึงไม่ได้อยู่ที่การเอาส่วนที่เกินมาหักลบกลบกับส่วนที่ขาดเพื่อให้ได้ค่ากลาง ความลงตัวไม่ได้อยู่ที่เอาลักษณะของชายและหญิงมารวมไว้ในคนๆเดียวกลายเป็นเพศกลางหรือเพศที่สาม ธรรมชาติคือความต่างเพราะความต่างที่ถ่วงดุลกันเป็นที่มาของวิวัฒนาการ แต่นี่ก็เป็นพื้นฐานของความวุ่นวายไม่จบสิ้นของมนุษย์ด้วยเช่นกัน หากโลกของเราจะมีแต่หญิงล้วน หรือชายล้วน ความวุ่นวายคงลดน้อยลงมาก แต่มนุษย์จะสูญพันธ์

หญิงมีลักษณะละเอียดรอบคอบ พิถีพิถันจนลังเลไม่มั่นใจ คือ นักเต้นระบำเพราะเดินวนเวียนอยู่สวยงามแต่ไม่ไปไหนเสียที ชายมีลักษณะกล้าตัดสินใจ แต่ประมาท ขาดความระมัดระวังคือ นักพนัน เพราะชอบเสี่ยงอยู่ตลอดซึ่งก็เป็นคุณลักษณะที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา แต่บางครั้งก็เสี่ยงจนหมดตัวจนรับผิดชอบความเสียหายไม่ไหว

ความสัมพันธ์ระดับสังคมและเศรษฐกิจ
ลักษณะที่ปรากฏในหญิงและชายนั้นเป็นตัวกำหนดความคิดในเรื่องต่างๆ ตลอดจนแนวคิดทางการเมืองการปกครอง สังคมที่มีความคิดแบบหยางมากๆคือสังคมที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดโดยไม่ค่อยรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้น สังคมที่มีลักษณะหยินมากๆก็จะมีลักษณะที่ตรงข้ามคือเน้นที่การอนุรักษ์สิ่งที่ดีไว้เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเมืองในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาแบ่งขั้วความคิดเป็นสองฝ่ายให้ชัดเจนไปเลยเป็นพรรค Republican และ Democrat แล้วให้ประชาชนลงคะแนนตัดสิน แน่นอนที่สุดสองพรรคนี้สลับกันขึ้นมาปกครองประเทศ ยามใดประเทศมีแนวคิดแบบ Republican สุดโต่งคนอเมริกันก็จะหันไปเทคะแนนให้ Democrat ในการเลือกตั้งสมัยหน้า ยามใดสังคมมีแนวคิดแบบ Democrat สุดโต่งสมัยต่อมาคนก็จะเทคะแนนให้ฝ่าย Republican มาก เป็น dynamicity แบบนี้ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนา สังคมแบบไทยกับทำตรงกันข้ามคือแทนที่จะแยกแนวนโยบายหยินหยางให้ชัดเจน ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายคล้ายๆกัน แล้วเอาตัวบุคคลเป็นที่ตั้งมากกว่าแนวนโยบาย dynamicity ในสังคมไม่เกิด การผูกขาดของพรรคต่อประชาชนเกิดขึ้นแต่พัฒนาการก็ไม่เกิด

ความลงตัวไม่ได้อยู่ที่การลอมชอมจนทุกคนเป็นเนื้อเดียวกันหมด เพราะนั้นเป็นอันตรายต่อวิวัฒนาการเหมือนอย่างสังคมนิยม (Socialist) ที่ทุกคนมีความคิดความเห็นไปในทิศทางเดียวกันแต่ประเทศไม่พัฒนา แตกต่างจากเสรีนิยม (Liberal) ที่กล่าวมาข้างต้น 

ดีทั้งหมดคือไม่ดี... เพราะไม่พัฒนา
ไม่ดีทั้งหมดยิ่งไม่ดี... เพราะเสื่อมลง
ดีบ้างไม่ดีบ้างปะปนกันจึงดี... เพราะเกิดพัฒนาการ

เช่นเดียวกับที่การเมืองมีแบบขวาจัด (liberal) และซ้ายจัด (conservative) แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และนโยบายเศรษฐกิจของชาติย่อมมีความแตกต่างกันคนละขั้วเช่นกันคือทุนนิยมเสรี (capitalist) และ นโยบายปกป้องประเทศจากทุนนิยมเสรี (protectionist) นโยบายแบบทุนนิยมเสรีคือการมุ่งเน้นที่ความก้าวหน้าและการลงทุน

* กรณีหนี้สินกรีซที่สร้างไว้จนล้นพ้นตัวก็มาจากแนวนโยบายแบบหยางสุดโต่งที่มุ่งความเปลี่ยนแปลงจนทำให้เกิดช่องว่างอันนำไปสู่การโกงกันในรัฐบาลก่อนๆ จนตอนนี้ต้องใช้นโยบายแบบหยินกลายเป็นรัฐบาลที่รัดเข็มขัด

มุมมองทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมกับอนุรักษ์นิยม (Capitalist vs. Conservative) แนวความคิด ซึ่ง

หยินคือนโยบายสังคมเศรษฐกิจเชิงก้าวหน้า (Progressive)
หยางคือนโยบายสังคมเศรษฐกิจเชิงป้องกัน (Protective)

การศึกษาไทยและเทศ
การประกันคุณภาพ

การแข่งขันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ แต่การเลือกที่จะไม่แข่งขันในสังคมที่มีการแข่งขันจะนำไปสู่การถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้และบทลงโทษที่เกิดขึ้นอันเลี่ยงไม่ได้







No comments: