Wednesday, February 18, 2009

China (8): The Heyday

ที่ผ่านมาผมเล่าถึงประวัติศาสตร์จีนยุคต้นศตวรรษที่ 20 อันแสนขมขื่น ไม่รู้ว่าจีนทำเวรทำกรรมอะไรไว้มากมายขนาดใหน บางทีอาจเป็นช่วงประวัติศาสตร์ยุคโบราณ แต่ที่แน่ๆ ผมหวังว่าความขมขื่นเหล่านั้นจะปิดฉากลงในเวลาอีกไม่นาน นโยบาย One-child Policy กำลังจะเห็นผลในเชิงเศรษศาสตร์มหภาพ (แต่หลักฐานทางงานวิจัยยังเป็นที่ถกเถียงว่านโยบายดังกล่าวเห็นผลจริงๆหรือเปล่า) ปัจจุบันจีนเป็นชาติที่มีเงินคงคลังในประเทศหรืำอ National Surplus เหลือสูงเป็นอันดับสามของโลก (โดยเขี่ยเยอรมันตกเป็นอันดับสี่จากรายงานเมื่อปลายปีที่แล้ว) เป็นรองแค่สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเท่านั้น GDP ของจีนเติบโตขึ้นเป็น 10% อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2003 ธุรกิจก่อสร้างเป็นดรรชนีชี้วัดอีกตัวหนึ่งถึงการเจริญเติบโตทางเศรษกิจของจีน ปัจจันบัน 5 ใน 10 ของอาคารสูงที่สุดในโลกอยู่ในประเทศจีน ทั้งหมดสร้างขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้นี่เอง แน่นอนว่าในสภาวะเศรษกิจหลังวิกฤตแฮมเบอเกอร์ครั้งนี้ ประเทศที่มีเงินคงคลังเหลือมากที่สุดย่อมเป็นต่อ อย่างน้อยก็ในเชิงการกระตุ้นกระแสเงินหมุนเวียนภายในประเทศโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินต่างประเทศ (เหมือนอย่างประเทศไทยในขณะนี้) ซ้ำยังเป็นแหล่งเงินกู้ให้กับประเทศอื่นแล้วคิดดอกเบี้ยเงินกู้แพงๆไ้ด้อีก หรืออาจให้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงด้วยเพื่อดึงดูดการลงทุนในตราสารหนี้กับรัฐบาลจีน ไม่แน่ว่าซักวันหนึ่ง ประเทศไทยอาจหันไปซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลจีนแทนรัฐบาลสหรัฐก็เป็นได้ (เพราะให้ดอกเบี้ยมากกว่า) ถ้าทุกประเทศคิดเช่นนั้นเงินรายได้หมุนเวียนของสหรัฐจากตลาดอนุพันธ์คงร่อยหรอ สหรัฐอเมริกาถึงได้เกรงๆจีนอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ยังไงล่ะครับ

No comments: