Friday, June 13, 2014



น้ำมันดิบ
เมื่อนำน้ำมันดิบ (crude oil or petroleum) จากการสำรวจและขุดเจาะมากลั่นด้วยกระบวนการความร้อนแล้วได้ผลดังนี้:
- ที่อุณหภูมิ 20C ได้แก๊ซปิโตรเลียมเหลวหรือ liquefied petroleum gas (LPG) ใช้หุงต้มและกับรถ Taxi
- ที่อุณหภูมิ 60C ได้น้ำมันเบนซิน (benzene) หรือที่เรียกว่า Gasoline สำหรับรถยนต์ ซึ่งเมื่อนำมารวมกับสารประกอบอื่นได้เป็น เบนซินออกเทน 91 และ เบนซินออกเทน 95 (ค่า octane คือค่าต้านทานการน็อคของเครื่องยนต์ไม่เกี่ยวกับการเพิ่มความแรงของเครื่อง ดังนั้นต้องเติมให้เหมาะกับรุ่นรถยนต์ซึ่งออกแบบมาไม่เหมือนกัน) เมื่อนำเบนซินออกเทน 95 ผสมกับแอลกอฮอล์บริสุทธิ์หรือเอทานอล (Ethanol) แล้วจะได้แก๊สโซฮอล์ 95
- ที่อุณหภูมิ 100C ได้น้ำมันก๊าด (kerosene) หรือน้ำมันตะเกียงจุดให้แสงสว่าง
- ที่อุณหภูมิ 160C ได้น้ำมันเครื่องบิน (Aviation fuel) ใช้กับเครื่องบินไอพ่น (เครื่องบินใบพัดใช้เบนซิน)
- ที่อุณหภูมิ 180C ได้น้ำมันดีเซล  (diesel) ใช้กับรถยนต์ทั่วไปหรือรถยนต์ใช้งาน มี 2 ประเภทคือน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (high speed diesel) สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรอบสูง และน้ำมันดีเซลหมุนช้า (low speed diesel) สำหรับนเครื่องยนต์ดีเซลรอบต่ำเช่นเรือ ประเภทที่สองนี้ก็คือน้ำมันเตานั่นเอง
- ที่อุณหภูมิ 250C ได้น้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ (lubricant) ซึ่งยังแบ่งได้ตามความหนืดอีก (ต้องใช้ให้ตรงกับรุ่นเครื่องยนต์)
- ที่อุณหภูมิ 600C ได้ยางมะตอย (asphalt) ใช้ทำถนน

ก๊าซธรรมชาติ
ปัจจุบันมีการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้แทนน้ำมันเรียกว่า Natural gas for vehicles (NGV) แทนการใช้น้ำมัน อีกประเภทเป็นก๊าซที่เกิดจากกระบวนการกลั่นน้ำมันเรียกว่า Liquefied Petroleum Gas (LPG) ทั่งสองจึงมีหน่วยและซื้อขายกันเป็นกิโลกรัม ผลิตและจำหน่ายโดยปตท ไม่เหมือนกับน้ำมันที่เป็นของเหลวจึงมีหน่วยเป็นลิตร

สรุปได้ว่าก๊าซต่างกับน้ำมันตรงที่ก๊าซธรรมชาติเหลวเมื่ออยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ผิวโลก ซึ่งมีความร้อนและความกดดันสูง จะมีสภาพเป็นก๊าซ และจะกลายสภาพเป็นของเหลวเมื่อขึ้นมาอยู่บนพื้นผิวโลก หรือไม่ก็เป็นก๊าซที่เกิดจากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ ส่วนน้ำมันดิบมีสภาพเป็นของเหลวตั้งแต่เมื่ออยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ผิวโลก

ข้อมูลจาก : กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ,
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=offway&month=07-2008&date=23&group=25&gblog=33


No comments: